3 ปี มิเกล อาร์เตต้า ผู้พลิกฟื้นอาร์เซน่อลให้มีชีวิตอีกครั้ง

มิเกล อาร์เตต้า จากผู้จัดการทีมมือใหม่ที่ใคร ๆ ก็ดูแคลน แฟนอาร์เซน่อลด้อยค่า จากอาเตตวยวันนั้นกลายเป็น “พี่ต้า” ในวันนี้ เขาทำให้แฟนปืนที่เคยไม่คิดอยากดูบอลกลับมาเชียร์อีกครั้ง
หนึ่งในแฟนบอลที่เคยหมดหวังกับทีม ไม่เคยอยากดูอาร์เซน่อลเล่นอีกเลย คือผมเองนี่แหละครับ มาปีนี้ผลงานดีขึ้นมันทำให้ผมพร้อมดูเกมได้ทุกแมทช์ที่น่อลแข่งไม่ว่าจะดึกแค่ไหนก็ตื่นมาดูได้เลย
เกมของอาร์เซน่อลและผลงานมันน่ากลับมาเชียร์จริง ๆ ครับ ซึ่งต้องให้เครดิตผู้จัดการทีมคนเก่ง คนนี้ มิเกล อาร์เตต้า

ทำไมมิเกล อาร์เตต้าจึงทำได้?

  1. Arteta รู้ dna ของอาร์เซน่อล เขาเคยเล่นให้อาร์เซน่อลมานับร้อยเกมในยุคปลาย ๆ ของเวนเกอร์ เขาเป็นถึงกัปตันทีมด้วยซ้ำไปครับ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจดีเอ็นเอของทีม และความต้องการของแฟนอาร์เซน่อลด้วย
  2. คุมทีมแค่ 3 ปี แต่เหมือนอยู่กัน 5 ปี จุดแข็งของอาร์เตต้าคือ ความต้องการพิสูจน์ตนเอง(เหมือนกุนซือที่รับงานครั้งแรกทุกคน) โดยความต่างจากคนอื่น ๆ คือ การได้รับความสนับสนุนจากบอร์ดบริหาร (โดยเฉพาะเอดู) ที่มีความอดทน ไม่รีบปลดอาร์เตต้าออกเมื่อทำผลงานออกมาแย่มาก ๆ (แฟนบอลทั้งโลกพร้อมใจกันไล่ออกในตอนนั้น) ปล่อยให้เขาคุมทีมต่อ และให้เงินเสริมทัพซื้อนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ตรงกับแผนการทำทีมจริง ๆ ก็ได้ดอกผลที่ถูกใจเลย ปีนี้ (2022/2023)แข่ง 14 นัดเป็นจ่าฝูง ก็พิสูจน์ชัดว่าเขามีดีจริง
  3. Trust the process ขอเวลา 5 ปีได้แชมป์ นี่เป็นแผนระยะยาวที่เขานำเสนอต่อผู้บริหาร ซึ่งในช่วงสองปีแรกมันกระท่อนกระแท่นมากเพราะผู้เล่นยังไม่ดีพอ/ไม่มีใจให้กับพี่ต้า แต่เมื่อมีการขจัดผู้เล่นที่ไม่หมาะสมออกได้หมดเสริมผู้เล่นใหม่ที่เป็นต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมและขับเคลื่อนทีมให้มีมาตรฐานสูงขึ้น มันก็ส่งผลให้ผลงานพัฒนาขึ้นอย่างผิดหูผิดตา สอดคล้องรับกับแผน 5 ปี ว่ามีโอกาสทำได้จริง
  4. มีเป้าหมายชัดเจน ลงทุนน้อยแต่ได้ผลสูง เป้าหมายชัดเจนคือรวมทั้งบอร์ดบริหารและอาร์เตต้าต่างก็มองเกมยาวๆ บอร์ดบริหารนั้นลงทุนกับการจ้างอาร์เตต้านั้นลงทุนต่ำกว่าจ้างคนที่มีชื่อเสียง แถมอาร์เตต้ายังมีแผนดันและสร้างผู้เล่นดาวรุ่งขึ้นมาด้วยแถมที่สำคัญคือเขาเลือกซื้อผู้เล่นในราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ถ้าถูกตั้งราคาเว่อร์ก็จะถอยไม่ซื้อหาตัวเลือกใหม่
  5. รู้ว่าใครที่ไม่ใช่ ตัดออกได้เด็ดขาด คนที่ค่าเหนื่อยแพงแต่ไม่รับใช้ทีม ไม่ช่วยให้ทีมมีผลงานที่ดีขึ้น โดนขายออกไปเกลี้ยงเลยครับ ตั้งแต่โอซิล วิลเลี่ยน และโอบาเมยอง สิ่งนี้มันสะท้อนเจตนาของสโมสรที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายและทำให้ทีมมีความ “ลีน” ลงตัวไม่มีส่วนเกิน อาจดูขัดใจในเรื่องของความจงรักภักดีต่อสโมสร แต่ถ้าคุณรู้ว่ามันเป็นผลเสียต่อภาพรวมและเป้าหมายการคัทลอสคนที่ไม่ใช่ออกไปถือว่าทำถูกครับ
  6. ออกดอกผลให้เห็น ชื่นใจ มั่นใจ ถ้าปีนี้ผลงานแย่นะ แพ้ติด ๆ กันอีก บางทีอาร์เตต้าอาจโดนไล่ออกไปแล้วก็ได้นะ โชคดีที่ทุกอย่างมันลงตัว(ซึ่งมาจากการเตรียมพร้อมทั้งการอุ่นเครื่องและซื้อผู้เล่นที่ถูกต้อง) ทำให้ทีมปืนโตกอบโกยคะแนนนำเป็นจ่าฝูงได้โดยแทบไม่สะดุดเลย ดอกผลนี้เองสร้างความมั่นใจให้บอร์ดและแฟนบอลถ้วนหน้า
  7. สร้างจากเด็ก จากทัศนคติเป็นแกนหลักก่อน มันตรงกับที่โอบาเมยองบ่นไว้ว่า “อาร์เตต้าคุมสตาร์ดังไม่ได้ คุมได้เฉพาะเด็ก ๆ เท่านั้น” ซึ่งมันก็จริงและเป็นสิ่งที่กุนซือใหม่เขาจำเป็นต้องทำอยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังสะท้อนถึงความต้องการของพี่ต้าว่าเขาอยากให้ทีมเป็นแบบไหน ถ้าเขาอยากให้ลูกทีมเห็นกระต่ายทุกคนก็ต้องเห็นเป็นกระต่ายเหมือนเขาโดยที่ต้องไม่มีใครเห็นเป็นเป็ดเด็ดขาด แล้วใครล่ะที่จะเห็นกระต่ายเหมือนเขา? ก็ต้องเป็นด็ก ๆ ที่มีความกระหาย ปราศจากอีโก้แบบสตาร์ไงล่ะ
  8. ค่อย ๆ ปรับให้มีผู้เล่นตรงตามแผน/กลยุทธ์ ในช่วงแรกที่ทีมปืนใหญ่ยังมีผลงานแย่นั้น เป็นผลมาจากผู้เล่นที่มีมุมมองและทัศนคติไม่ตรงตามกุนซือ ไม่ยอมทำตามแผนที่เตรียมกันก่อน พออาร์เตต้ามีเวลาคุมทีมมากขึ้นก็ค่อย ๆ ตัดผู้เล่นที่เป็นส่วนเกินออกไปได้จนหมด แล้วคัดสรรเลือกเฉพาะผู้เล่นที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อฟุตบอลและตรงตามสเป็คที่กุนซือต้องการเท่านั้น โดยทัศนคติที่เหมาะสมคือ “มีความกระหายในชัยชนะ” ซึ่งการได้เฆซุสกับซินเชนโก้จากแมนซิตี้มามันเหมือนจิ๊กซอว์สำคัญที่ได้คนมาตรงกับงานพอดี จึงทำให้ผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตา
  9. รู้วิธี/โครงสร้างที่จะชนะ แล้วหาผู้เล่นที่เหมาะสม
  10. ให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อม ก่อนผลลัพธ์
  11. ความสำเร็จต้องใช้เวลา ต้องค่อย ๆ ปรับ
  12. เด็ก ๆ ต้องการพิสูจน์ตนเอง ด้วยการเลือกเบอร์เสื้อ กล้าเลือกเบอร์ในตำนาน อย่างสมิทธ์โรว์ที่กล้าเลือกเบอร์ 10 แสดงว่าอยากเป็นตำนาน เอนเคเทียห์ที่กล้าเลือกเบอร์ 14 ก็เช่นกัน แสดงว่าพวกเขาอยากบอกโลกให้รู้ว่าเขามีดีพอ เขาสามารถทำได้แน่จึงเลือกเบอร์ที่ใจถึงแบบนั้น
  13. ยืนระยะได้นานกว่ารุ่นเดียวกัน โซลชา แลมพาร์ด เจอร์ราร์ด โดนปลดก่อน
  14. Energy สตาร์ทดุดัน 30 นาทีแรกยิงประตูได้ นี่คือคาแร็คเตอร์ใหม่ของลูกทีมปืนโตเลย ความดุดันความเป็นนักฆ่าที่เริ่มตะลุมบอนตั้งแต่เป้านกหวีด มันสะท้อนบุคลิกทีมใหม่ที่แฟนบอลยุคเดิม ๆ ไม่ได้เห็นนานแล้ว และที่สำคัญก็คือ “ความจะเอาให้ได้” ที่เข้มข้นยาวนานไม่ได้ไม่ผ่อนแบบนี้แหละที่โดนใจมาก
  15. เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่น แดนกลาง แดนหน้า การมาของเฆซุสกับซินเชนโก้คือการเติมสิ่งที่ขาดได้ลงตัวจริง ๆ ทั้งคู่มาทำตัวเป็นตัวอย่างให้เพื่อร่วมทีมดูว่าวิธีการเล่นแบบผู้ชนะเขาทำกันยังไง ซึ่งมันได้ส่งผลถึงประสิทธิภาพโดยรวมอย่างชัดเจนเลยครับ
  16. เกมรุกดุ(รองซิตี้) โอกาสปีนี้ เฉลี่ย 2.36 ประตูต่อเกม เกมรับเหนียว(เสียน้อย)
  17. Pressing ดีมาก control เกมได้ดีขึ้น นี่คือจุดแข็งที่ทีมอาร์เซน่อลพัฒนาขึ้นมาจนโดดเด่น จำได้เลยว่าในอดีตยุคปลายของเวนเกอร์ทีมปืนใหญ่มักจะแพ้ทางทีมที่เล่น Pressing ดุ ๆ เจอทีไรแพ้ยับเยินทุกที แต่พอมายุคอาร์เตอต้าเขาก็เอาเกม Pressing นี่มาเป็นแกนกลยุทธ์การต่อสู้ ซึ่งได้ผลดีมาก ๆ ถูกใจแฟนบอลอย่างสูงจริง ๆ

นี่คือข้อดีที่ผมได้จากการดูบอลและได้ไอเดียเพิ่มเติม(ที่เยอะมาก)จากการชมคลิปของ Got Gooner ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่ช่วยเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับการทำทีม มุมมองของผู้บริหาร(โดยเฉพาเอดู) และอาร์เตต้า ทำให้เปิดหูเปิดตาแฟนบอลยุคโบราณ ให้กลับมาเข้าใจทีมและกลับมาเชียร์ได้อีกครั้งครับ

บทความคล้ายกันที่ท่านอาจสนใจ

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *